เมื่อผมไปฟัง #กสยฟพทสตจ เอ้ย! #khajochi บรรยายเรื่อง Software engineering (‘s life)

เมื่อวันก่อน SIT ของมหาวิทยาลัยฯ เขาเชิญคุณ กสยฟพทสตจ เอ้ย! คุณขจร หรือที่มักรู้จักกันในชื่อว่า Khajochi Blogger และ Founder ของ Macthai.com มาบรรยายในเรื่องของ software engineering ครับ ผมกับเพื่อนผม ด้วยความที่อยากเจอะเจอและฟังประสบการณ์ด้านนี้อยู่แล้ว ก็เลยไปฟังกันครับ

รูปด้านหน้าของซองรวมโปสเตอร์

รูปด้านหน้าของซองรวมโปสเตอร์ จะมีรูปน้องแว่นสาวสวย \(‘-‘)/ ยืนถือไอแพดมีรูปโลโก Macthai และที่คั่นหนังสือพิมพ์ Quote บุคคลสำคัญใน Apple

ด้านหลังของซองรวมโปสการ์ด

ด้านหลังของซองรวมโปสการ์ด เป็นรูปรวมนางแบบฯ ด้านหลังเป็นปฏิทินของปี 2557

สิ่งที่ผมประทับใจอย่างแรกเมื่อมาฟังบรรยายครั้งนี้ คือนอกจากเขาจะแจกของที่ระลึกอย่างโปสการ์ดนางแบบของ Macthai.com (สาวแว่นสุดยอด! \(>_<)/ #ผิด) และ Quote บุคคลสำคัญใน Apple (มีโควตหนึ่งที่ฮามาก คือเค้าโควตคำของ Jony Ive ว่า “Aluminum!” ด้วย แหม่…) แล้ว เค้ายังแจกปากกาด้วยครับ ซึ่งปกติ (ที่ผมเคยเจอ) ไม่ค่อยได้เห็นนะครับ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะพอเข้าไปจริงๆ แล้ว แม้มือถือจะจดอะไรได้สารพัดสารพัน แต่สำหรับผม ปากกาลูกลื่นกับกระดาษยังไงก็เร็วกว่าครับ

คุณขจรฯ ตอนเริ่มบรรยายครับ

คุณขจรฯ ตอนเริ่มบรรยายครับ (ตอนหลังๆ พี่เค้าจะนั่งคุยตรงหน้าเวทีบ้าง เดินไปถามคำถามบ้าง เป็นกันเองดีครับ) (ขออภัยในความกากของกล้อง iPhone3 ของผมด้วยครับ T.T)

หลังจากลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่นานคุณขจรฯ (ต่อไปในโพสต์นี้จะเรียกว่า “พี่” เข้าใจตรงกันนะครัช) ก็เข้ามาทักทายผู้มาฟังฯ และก่อนจะเริ่มบรรยาย พี่ก็อนุญาตให้เล่นมือถือได้ ขออย่าให้มีเสียงคุยรบกวนการบรรยายก็เป็นอันใช้ได้

หัวข้อการบรรยาย พี่ขจรจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักครับ คือ

  1. งานและเงิน
  2. ความชอบ
  3. ความรัก

ต่อไปนี้ผมจะเล่าเรื่องที่ได้จากการบรรยายครั้งนี้จากความทรงจำของผม สำนวนอาจจะแข็งหรือผิดพลาดไปบ้างขออภัยนะครับ (^-^” )

งานและเงิน

ในการบรรยายฯ พี่ขจรเล่าให้ฟังครับว่า พี่ขจรเองเป็นเด็กขอนแก่นแต่กำเนิด เนื่องจากที่บ้านทำธุรกิจน้ำมัน (พี่เค้าเอารูปถ่ายกับครอบสมัยวัยรุ่นมาให้ดู เป็นรูปถ่ายที่ปั๊มน้ำมันคาร์ลเท็กซ์ของครอบครัว) เมื่อก่อนก็อยู่เหมือนลูกคุณชายตัวน้อยๆ มีคนใช้ มีคนดูแล ใช้ชีวิตค่อนข้างสบายพอตัว เข้าสู่ปริญญาตรีที่ สจล. ไม่นาน ก็เกิดวิกฤตฟองสบู่แตก กิจการของครอบครัวมีปัญหา กลายเป็นว่าพี่ต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยจนจบการศึกษา

ตอนเรียนจบใหม่ๆ ได้ทำงานแรกเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ metrosystem start เงินเดือนเริ่มต้นที่ 13,500 บาท (ตรงนี้พี่ขจรบอกว่าเป็นความผิดพลาดที่บอกเงินเดือนให้เพื่อนๆ ฟัง จนเกิดการเปรียบเทียบระหว่างกัน) แม้ชีวิตจะสุขสบายตามฐานะของพนักงานออฟฟิศทั่วไป แต่พี่ขจรมีความฝันว่าจะมีเงินเก็บหนึ่งล้านบาทให้ได้ก่อนอายุ 30 ปี และเมื่อคำนวนดูแล้ว แม้จะได้ขึ้นเงินเดือนสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อหักลบกลบหนี้แล้วก็พบว่าคงได้เงินครบก็ผ่านไปสี่สิบกว่าปี อยู่ได้สองสามปีก็ลาออกไปทำงาน Outsource ครับ

เนื่องจากตอนที่พี่ขจรอยู่ที่ metrosystem บริษัทฯ บังคับให้สอบใบ Certify ก็เลยมี Certify ของ Java อยู่ ตอนเข้ามาทำงาน Outsource เลยได้เพิ่มเงินเดือนเป็น 23,000 บาท ณ ขณะนั้นถือว่าสูงพอตัว แม้จะมีข้อดีเรื่องเงินเดือนสูง แต่ก็ต้องแลกกับเพื่อนที่น้อยลง เพราะลงแต่ละ project ก็อยู่เพียง 3-4 เดือน ไม่ได้มีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กับคนในบริษัทที่ไปทำงานมากนัก แถมงานก็ค่อนข้างหนัก เคยมีครั้งหนึ่งเริ่มทำงาน 09:00 ไปเสร็จงานวันนั้น 0900 ของอีกวัน เมื่อทำงานไปสักพักก็เลยลาออกเพราะทนต่อสภาวะกดดันแบบนี้ต่อไปยาก

หลังจากนั้น ด้วยความที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษอยู่แล้ว พี่ขจรได้ไปทำงานที่บริษัท heartbeat digital แถวอโศก ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติ ด้วยเงินเดือนตกราวๆ 3x,xxx บาท ด้วยวามที่เงินเดือนสูง และได้ทำงานในบริษัท ก็เลยคิดถึงขั้นจะลงหลักปักฐานที่นั่นเลย แต่สุดท้าย บริษัทต้องปิดลงเพราะกิจการที่สำนักงานใหญ่ต้องตัดรายจ่าย จึงปิดสาขาในไทย

ส่วนนี้ผมแนะนำให้อ่านใน Blog จะเห็นภาพชัดกว่าครับ ^-^

หลังจากที่โดน Layoff มา พี่เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นชีวิตเคว้งมาก รู้สึกว่าไม่อยากอยู่ในกรุงเทพฯ สักพัก ก็เลยตัดสินใจไปหัวลำโพงนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ไปถึงก็เมาโซซัดโซเซอยู่เป็นสัปดาห์ จนรู้สึกว่าทำไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา วันพุธนั้นเลยไปดูนั่งดูหมีแพนด้าที่สวนสัตว์เชียงใหม่อยู่นานสองชั่วโมงกว่า จนมีสายหนึ่ง(ซึ่งอ่านใน Blog ก็คงจะรู้นะครัชว่าใคร)  โทรมาพูด (ให้กำลังใจ?) จนในที่สุดพี่ขจรตัดสินใจเดินทางกลับ และหางานทำจนได้ทำงานที่ Thomson Reuther ในที่สุด (อันนี้พี่ขจรไม่บอกเงินเดือนนะครับ 555+ (-_-” ) )

สิ่งหนึ่งที่พี่ขจรได้ คือเรื่องการใช้จ่ายเงินครับ พี่ขจรเล่าตรงนี้ว่า พี่ขจรเคยพูดถึงเรื่องจะเก็บเงินล้านให้ได้ตอนอายุ 30 กับหัวหน้าที่เป็นชาวอเมริกัน หัวหน้าเค้าก็บอกว่า ถ้าอยากจะเก็บเงิน จงอย่าใช้เงินตามรายได้ แต่จงใช้เท่าที่คิดว่าอยู่ได้ ที่เหลือก็เก็บไว้ แล้วเก็บเงินตั้งแต่วันแรกที่ได้เงินมา คือเก็บเงินก่อนใช้ ดีกว่าใช้เงินก่อนเก็บ ทำให้มีวินัยทางการเงิน

ในที่สุด แม้จะไม่ทันอายุ 30 ปี แต่ก็ได้เงินล้านตอน 31 ปีจนได้ครับ 😀

ปัจจุบัน พี่ขจรลาออกจากงานประจำแล้วมาทำงานที่บ้านครับ

ความชอบ

ในเรื่องความชอบ ผมอยากให้ลองอ่านใน Blog พี่เค้าเองนะครับ แต่ก็พอสรุปเป็นข้อคิดได้ว่า

  • ชอบทำอะไร ก็จงทำสิ่งนั้น
  • จงหาให้เจอว่าอยากทำอะไร แล้วทำให้เต็มที่ แต่อย่าได้ละทิ้งสิ่งที่ชอบรองลงมา เพราะบางทีในอนาคตเราอาจไม่ได้ชอบสิ่งที่เราชอบในตอนนี้จริงๆ
  • ถ้าสิ่งที่เราทหรือเรียนำไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ
    • จงอย่าได้ทิ้งสิ่งที่เราทำ
    • ทำสิ่งที่เราชอบให้มากขึ้น ลองทำยาวๆ สักปีสองปี แล้วดูว่าอะไรดีกว่ากัน
  • 3 อย่า (ในความคิดของพี่ขจร)
    • อย่าทำงานกิจการที่บ้านทันทีที่เรียนจบ เพราะทำงานที่บ้านนั้นทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ออกยากหรือไม่ได้เลย จะทำให้เราเสียโอกาสในการทำงานในโลกภายนอก
    • อย่าทำงานใกล้บ้าน ทำงานที่อื่นแล้วจะได้พบว่าโลกกว้างนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมาก
    • จบ ป.ตรี อย่าเพิ่งเรียนควบ ป.โท เพราะในสาย  IT ปริญญาไม่มีความหมายสักเท่าไร เมื่อเทียบกับ Certify ที่มีผลต่อเงินเดือนและการรับเข้าทำงานโดยตรง

ความรัก

ส่วนนี้พี่ขจรจะเล่าเรื่องของพี่ขจรกับพี่เชอรี่ที่กว่าจะได้แต่งงานก็สิบปีกว่า อยากให้อ่านใน Blog เรื่องนี้เองครับ น่ารักเกินกว่าจะเล่าให้ฟัง >//<

ทิ้งท้าย

  • โอกาสมีไม่มาก อย่าปล่อยให้หลุดลอยไป รีบคว้าเอาไว้ก่อนจะสาย
  • หาความฝันของตัวเองให้เจอ แล้วทำมันซะ

ก็นับว่าเป็นการบรรยายที่ผมว่าน่าสนใจดีนะครับ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดถึง Software engineering เต็มๆ ก็เหอะ -3- แต่ก็ได้สาระไปพอสมควรเลยทีเดียว หวังว่าบรรยายครั้งต่อไปผมคงได้ฟังอะไรดีๆ แบบนี้อีกนะครับ จะได้เอามาเล่าให้ฟังกัน >_<