สวัสดีครับ วันนี้ผมได้รับคัดเลือกจากศูนย์ต่างประเทศเพื่อวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. (International Center for Engineering, KMUTT) ให้ไปร่วมงานบรรยาย “Journey to Space” ซึ่งจัดโดยสถานฑูตอเมริกาประจำประเทศไทยครับ เป็นการบรรยายภารกิจของ NASA โดย NASA Administrator คุณ Charles F. Bolden, Jr. ครับ
.@NASA ’s delegations impart not only their experiences but encouragement & inspiration for students to work hard. pic.twitter.com/CUNwwNmMbQ
— U.S. Embassy Bangkok (@USEmbassyBKK) September 1, 2015
เช่นเคยครับ ผมบันทึกเสียงการบรรยายไว้ หากสนใจก็เชิญรับฟังกันได้เลยครับ
ใจความสรุปหลักๆ แบ่งได้เป็น ประเด็นครับ
- NASA แต่เดิมไม่ได้ทำในด้านอวกาศนะครับ แต่เกิดจากการพัฒนาด้านอากาศยานของยุโรปซึ่งเริ่มโดยสองพี่น้องตระกูลไรน์ (แต่แรกอเมริกาก็ไม่สนใจครับ มาเริ่มอีกทีก็ตามหลังเค้าพอสมควร) พอเริ่มสงครามเย็นในฝั่งอวกาศจากการปล่อยสปุตนิค ปธน.ไอเซนฮาวน์ก็เลยริเริ่มให้มีการพัฒนาด้านอวกาศจนเป็นอย่างที่เราเห็นครับ อย่างไรก็ตามการพัฒนาอากาศยานก็ยังไม่ทิ้งครับ และยังทำอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เค้ายกมาก็เช่น Boing 787 ที่เปลี่ยนวัสดุหลักเป็นวัสดุผสมซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม น้ำหนักเบากว่า และประหยัดเชื้อเพลิงในการบิน
- การดำเนินกิจกรรมด้านอวกาศแต่เดิมมีนัยยะด้านการแข่งขันในสงครามเย็นด้วยก็เลยแยกกันทำ ต่อมาก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานอื่นเพิ่มขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือสถานีอวกาศนานาชาติหรือ ISS ที่มีหน่วยงานทั้งจากอเมริกาเอง รัสเซีย ญี่ปุ่น เยอรมันและแคนาดาร่วมกัน และเมื่อรัฐบาลหันไปให้ความสนใจในด้าน Climate change เพิ่มขึ้น การสำรวจอวกาศระยะหลังจะเป็นแนวส่งยาน/หุ่นยนต์ไปสำรวจหรือการทดลองใน ISS เพื่อพัฒนาองค์ความรู้มาใช้บนโลก และเริ่มให้เอกชนดำเนินการด้านอวกาศบ้าง ชเ่น SpaceX เป็นต้น
- การส่งมนุษย์ขึ้นไปอาศัยในดาวดวงอื่นยังเป็นสิ่งที่ต้องขบคิดอีกเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับสภาพมนุษย์ที่เกิดและอยู่ในพื้นที่ที่แรงดึงดูดโลกเป็น 1G ไปอยู่ในที่ที่มีแรงดึงดูดต่างออกไปซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่ได้รองรับรูปแบบดังกล่าว การอยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีกัมมันตภาพรังสีซึ่งต่างจากโลก การพัฒนาให้มนุษย์สามารถมีชีวิตรอดได้ในระหว่างการเดินทางและอยู่บนดาว ที่สำคัญที่สุดคืองบประมาณในการดำเนินการนั้นสูงมาก การจะทำอะไรต้องทำด้วยความรอบคอบและได้รับอนุมัตจากสภาคองเกรสซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ยังมีการผลักดันกันอยู่เรื่อยๆ (มีการพูดถึงการระดมทุนแบบ Crowdfunding ด้วย ซึ่งวิทยากรเองก็บอกว่าเป็นไปได้ แต่ในมูลค่าที่สูงมากก็ต้องให้บริษัทยักษ์ใหญ่เอาด้วย)
- การพัฒนาด้านกล้องโทรทรรศน์อวกาศอย่าง Hubble ทำให้การศึกษาอวกาศทำได้ดีกว่าที่เคยเป็นมาบนพื้นโลก อย่างไรก็ตามยังมีอุปสรรคหากจะต้องทำกล้องที่ใหญ่กว่าเดิมไปโคจรเป็นดาวเทียมซึ่งการขนอุปกรณ์สำเร็จไปคงไม่ใช่หนทางที่ดีนัก การสร้างเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่สามารถพิมพ์อุปกรณ์แล้วติดตั้งได้เลยดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า นอกจากนี้ การส่งยานอวกาศไปก็ยังช่วยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่ไม่เคยคิดถึงได้มาก่อน เช่นการส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวเคราะแคระพลูโต (มีแซวว่าเด็กๆ ที่อเมริกาโกรธมากที่พลูโตกลายเป็นดาวเคราะแคระ) เป็นต้น
ตอนท้ายวิทยากรพูดถึงการมีส่วนร่วมที่เราสามารถทำได้ ขอเพียงทำทุกอย่างที่เราทำได้เมื่อมีเวลาในทุกที่ที่เราอยู่ (Do all you can with what you have in the time you have in the place you are. — Nkosi Johnson)
สิ่งที่ผมประทับใจอย่างหนึ่งในการบรรยายครั้งนี้คือแม้วิทยากรจะเป็นถึง NASA Administrator แต่เขาไม่ถือตัวเลย (ถึงกับตั้งกฎเลยว่าอยากรู้อะไรให้ถามขัดจังหวะได้เลย และไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นคำถามโง่ๆ หรือไม่) เข้าถึงทุกคน เป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ นัก ทำให้การบรรยายไม่น่าเบื่อเลยครับ
สุดท้ายนี้ผมต้องขอบคุณสถานฑูตอเมริกาประจำประเทศไทยและศูนย์ต่างประเทศเพื่อวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. เป็นอย่างสูงครับที่เปิดโอกาสให้ผมได้เข้าร่วมครั้งนี้ครับ
Great @NASA outreach with nearly 200 university students on “Journey to Space” at @USEmbassyBKK! pic.twitter.com/TPDqlpvzDA
— U.S. Embassy Bangkok (@USEmbassyBKK) September 1, 2015
เมื่อวันที่ 1 กันยายน นิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เกือบ 200 คนมาเยี่ยมสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อฟังการบรรยายเรื่อง “…
Posted by U.S. Embassy Bangkok on Tuesday, September 1, 2015
เช่นเคยครับ สงสัยหรืออยากพูดคุยอะไรเชิญได้ที่ Comment ได้เลยครับ